วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

วิธีการดูแลมือและเท้า



           การบำรุง เล็บมือและเล็บเท้า


         ควรทาโลชั่นหรือน้ำมัน บำรุงมือ เล็บ และเท้า เป็นประจำเพื่อลดอาการแห้งกร้าน หยาบกระด้าง นอกจากนี้ ควรรับประทานอาหารที่มีสารอาหารช่วยในการบำรุงเล็บ จำพวกโปรตีน วิตามินเอ ซี และอี สังกะสี ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในอาหารทะเล และเมล็ดธัญพืช
สำหรับผู้หญิงที่ชอบทาเล็บควรเลือกซื้อน้ำยาทาเล็บให้เหมาะกับสีผิวและโอกาสที่ใช้ สีเสื้อผ้า เครื่องสำอางและบุคลิกของตัวเอง การทาเล็บควรทาน้ำยารองพื้นเล็บก่อนทาสี เพื่อป้องกันเล็บเหลือง และควรทาน้ำยาเคลือบเงาเล็บเพื่อความวาวและติดทนนาน แต่ไม่ควรทาเล็บสีเข้มติดต่อกันนานๆ ควรสลับสีอ่อนบ้าง และควรหยุดพักการทาเล็บเมื่อเห็นว่าสภาพเล็บดูแห้งหรือเกิดสีผิดปกติ หากสีเล็บเปลี่ยนไป คุณอาจจะใช้มะนาวซีกที่ไม่มีน้ำแล้วมาช่วยได้โดยใช้มือซุกเข้าไปในเปลือกมะนาวสัก 2-3 นาที กรดมะนาวจะช่วยทำให้สีเล็บดูสดใสขึ้น

วิธีการคลายเครีดแบบง่ายๆ

8 วิธี คลายเครียด ทันใจ





          อย่าปล่อยให้ชีวิตต้องจมอยู่กับความเครียด จากการทำงาน อันเร่งรีบและเรียกร้อง ลองใช้วิธีการต่อไนปี้ที่ได้ชื่อว่าช่วยในการคลายเครียดให้คุณได้อย่างทัใจเสมอ

คลายเครียด


1 จดบันทึก การจดบันทึกมีประโยชน์หลายอย่าง เป็นทั้งการทบทวนตัวเอง ปัญหาที่เกิดขึ้น รวมถึงการสำรวจถึงทางออกที่เป็นไปได้ต่อปัญหาเหล่านี้ สามารถช่วยคุณในการย่อยสลายอารมณ์ความรู้สึกอันยากลำบากต่างๆ และเป็นหนทางในต่อสู้กับความเครียดในอนาคต


2 การทำสมาธิ มีหลายวิธีในการทำสมาธิ แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีใดก็ตาม การฝึกทำสมาธิสามารถลดความเครียดได้อย่างมหาศาล และต่อสู้กับปฏิกิริยาในแง่ลบจากความเครียด และเมื่อคุณผ่อนคลาย คำตอบของปัญหาที่ทำให้คุณเครียด ก็จะมาถึงคุณเองในแบบที่ง่ายดายและชัดเจน


3 พูดกับเพื่อน การพูดสิ่งต่างๆ ออกมากับเพื่อนสามารถกระจายอารมณ์และความตึงเครียดของคุณออกมาได้ และช่วยคุณให้รู้สึกว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียวในปัญหาของตัวเอง และเพื่อนอาจถามคำถามที่สอดรู้สอดเห็นบางอย่าง ซึ่งจะทำให้คุณคิดถึงสถานการณ์ของตัวเองในแบบที่แตกต่างออกไป


4 การพูดกับตัวเอง การพูดกับตัวเองในแง่ลบสามารถทำให้เกิดความเครียดได้มากกว่าที่คนส่วนใหญ่จะรู้ตัว เราหมายถึงเสียงเล็กๆ ในหัวของคุณที่ประเมินสิ่งต่างๆในแง่บวกหรือแง่ลบ และบอกคุณเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่คุณพบอยู่ และเกี่ยวกับตัวคุณเอง ลองเปลี่ยนจากการพูดกับตัวเองในแง่ลบ มาเป็นการพูดถึงตัวเองในแง่ดี มันอาจต้องใช้การสำรวจตัวเองเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจเลือกคำพูดที่จะใช้กับตัวเอง แต่ผลที่ได้รับก็คือ ความรู้สึกมั่นใจและความเครียดที่ผ่อนคลายลง


5 เรียนรู้ที่จะปฏิเสธ ถ้าคุณรู้สึกว่ากำลังทำงานมากเกินไปและเครียดเกินไป มันอาจถึงเวลาที่คุณจะเรียนรู้วิธีที่จะบอกปฏิเสธกับผู้คนที่เรียกร้องเวลาจากคุณ การปฏิเสธจะทำให้คุณรู้สึกว่ามีอำนาจมากขึ้น และคุณสามารถป้องกันไม่ให้ชีวิตยุ่งเหยิงเกินไป จนวงจรความเครียดดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้ง คุณสามารถมองเข้าไปในตัวเองเพื่อดูว่าทำไมคุณจึงไม่เคยปฏิเสธใคร และใช้วิธีการใหม่เพื่อที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น


6 ฝึกการหายใจ การหายใจเข้าลึกๆ เป็นการผ่อนคลายความเครียดที่ง่ายดาย และมีประโยชน์อย่างมากมายต่อร่างกาย รวมถึงการเติมออกซิเจนในเลือด ที่ช่วยปลุกสมองให้ตื่นตัว ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและทำให้จิตใจความคิดสงบ การฝึกหัดหายใจสามารถทำได้ทุกหนทุกแห่ง และได้ผลอย่างรวดเร็วจนคุณสามารถคลายเครียดได้ในพริบตา


7 การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ด้วยการเกร็งและคลายกลุ่มกล้ามเนื้อทั้งหลายในร่างกาย คุณสามารถผ่อนคลายความตึงเครียด และรู้สึกผ่อนคลายได้มากขึ้นในเวลาไม่กี่นาที โดยไม่ต้องมีการผึกฝนหรือเครื่องมือพิเศษใดๆ เริ่มด้วยการเกร็งกล้ามเนื้อทั้งหมดบนใบหน้า แยกเขี้ยวและยิ้มค้างไว้ 10 วินาทีแล้วผ่อนคลาย 10 วินาที ทำซ้ำกับกล้ามเนื้อคอ ตามด้วยไหล่ และกล้ามเนื้ออื่นๆ คุณสามารถทำแบบนี้ทีไหนก็ได้ และขณะที่คุณทำ คุณจะพบว่าตัวเองผ่อนคลายได้เร็วกว่าและง่ายกว่า


8 การออกกำลัง คนจำนวนมากออกกำลังเพื่อควบคุมน้ำหนักและเพื่อสุขภาพร่างกายที่ดี แต่การออกกำลังกับการจัดการความเครียดก็มีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด การออกกำลังทำให้เราหันเหความสนใจไปจากสถานการณ์อันตึงเครียด เช่นเดียวกับเป็นทางออกของความหงุดหงิดคับข้องใจ  และทำให้คุณชื่นบานด้วยการหลั่งของเอนดอร์ฟิส์

ลดความอ้วนแบบสุขภาพดีมาฟังทางนี้นะค่ะ

           
              อาหารที่ควรรับประทานเป็นประจำ เพื่อช่วยลดแอลดีแอลคอเลสเตอรอล และป้องกันโรคหัวใจ อย่างนี้แล้ว ความสวยงามก็ย่อมมาพร้อมกับสุขภาพที่ดีแน่นอน

  1. รับประทานปลาทะเลสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ช่วยให้หัวใจทำงานเป็นปกติ ป้องกันการจับตัวของเกร็ดเลือด ช่วยลดความดันโลหิต
  2. รับประทานถั่วเมล็ดแห้งสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ช่วยลดแอลดีแอลคอเลสเตอรอล
  3. รับประทานผักในตระกูลครูซิเฟอรัสทุกวัน ได้แก่ ผักคะน้า บร็อคโคลี ดอกกระหล่ำ แขนงผัก กะหล่ำปลี ผักกวางตุ้ง เป็นต้น
  4. รับประทานผักที่มีสีสันต่างๆ และผลไม้ให้หลากหลายทุกวัน
  5. รับประทานผลิตภัณฑ์ข้าวและธัญพืชไม่ขัดสีทุกวัน เช่น ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท เส้นหมี่ข้าวกล้อง ฯลฯ
  6. ใช้น้ำมันเหล่านี้ในการทำอาหาร ได้แก่ น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว
  7. รับประทานผลิตภัณฑ์นมพร่องมันเนยหรือนมขาดไขมันแทนผลิตภัณฑ์นมเต็มไขมัน
  8. ควบคุมปริมาณอาหารที่รับประทานแต่ละมื้อ โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ไม่เกินวันละ 200 กรัม
  9. ควบคุมปริมาณคอเลสเตอรอลในอาหารวันละ 200-300 มิลลิกรัม
  10. รับประทานกระเทียมสดวันละ 1-11/2 หั

สมองและความจำดี ..... เริ่มต้นที่ “ อาหาร

              สมองและความจำดี ..... เริ่มต้นที่ “ อาหาร ”
             สมองต้องการสารอาหารอย่างครบถ้วนเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงการจดจำข้อมูลต่างๆ เด็กที่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ นอกจากจะทำให้ร่างกายไม่เจริญเติบโตแล้ว ในระยะเริ่มแรกเด็กจะขาดสมาธิ และเลี้ยงยาก ต่อมาในระยะยาวจะทำให้พัฒนาการทางด้านสติปัญญาช้ากว่าเด็กปกติ หรืออาจปัญญาอ่อนได้ ขึ้นกับความรุนแรงของการขาดสารอาหาร สมองต้องการอาหารดังนี้... 

เนื้อสัตว์ เป็นแหล่งของโปรตีนที่เป็นโครงสร้างของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย รวมทั้งสมอง นอกจากนี้ยังใช้ในการสร้างสารสื่อประสาทที่ช่วยในการทำงานของสมอง มีกรดอะมิโน 2 ชนิดในเนื้อสัตว์ที่มีผลต่อการสร้างสารสื่อประสาท คือ ทริปโตแฟน ( tryptophan) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็น เนื่องจากร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้เอง จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร เพื่อนำไปสร้างสารสื่อประสาทซีโรโตนิน และไทโรซีน (tyrosine) ที่ร่างกายสามารถผลิตขึ้นมาเองได้ โดยจะนำไปใช้ในการสร้างสารสื่อประสาทโดปามีน 

อาหารที่มีปริมาณโปรตีนสูง มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ และมีไทโรซีนสูง เช่น อาหารทะเล ถั่วเหลือง เนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่ และนม จะช่วยให้สมองมีพลัง กระฉับกระเฉง ตื่นตัว จึงเหมาะสำหรับเป็นอาหารในช่วงเช้า และกลางวัน ส่วนอาหารที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูง มีโปรตีนต่ำ และมีทริปโตแฟนสูง เช่น ข้าว ถั่วเล็ดแห้งต่างๆ 
งา และขนมหวาน จะช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายและอารมณ์ดี จึงเหมาะสำหรับเป็นอาหารในมื้อเย็น ที่ร่างกายต้องการพักผ่อนนอนหลับอย่างสุขสงบ 

แป้งและน้ำตาล เมื่อถูกย่อยจะได้กลูโคสที่เป็นแหล่งพลังงานสำคัญของสมอง จึงควรพยายามรักษาระดับน้ำตาลในร่างกายให้คงที่ เพราะหากมีการเปลี่ยนแปลงมากเกินไปจะมีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้ระดับของสารสื่อประสาทไม่สมดุล ซึ่งจะทำให้เกิดอาการมึนหัว ง่วงนอน สับสน และอาจถึงกับเป็นลม ชัก หมดสติได้ แหล่งของแป้งและน้ำตาลควรมาจากข้าว ธัญพืชชนิดต่างๆ 

ผักและผลไม้ ที่มีกากใยมากกว่าขนมหวานเพราะมีส่วนประกอบของน้ำตาลสูง เนื่องจากใยอาหารจะช่วยในการดูดซึมน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่เพิ่มสูงเร็วเกินไป สำหรับอาหารที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบมาก หลังจากรับประทานจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างกายจะหลั่งอินซูลินออกมามากเพื่อรักษาระดับน้ำตาล และอาจทำให้ระดับน้ำตาลในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว จนมีผลกับการทำงานของสมองได้ 

          ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกอยู่ในวัยเรียน จึงไม่ควรให้ลูกรับประทานขนมหวานมากเกินไป เพราะจะมีผลต่อสมาธิในการเรียน ความจำ และการทำงานของสมอง โดยเฉพาะในเด็กเล็กจะงอแงและเลี้ยงยาก 

ไขมัน ส่วนประกอบของสมองมากกว่าร้อยละ 60 เป็นไขมันที่หุ้มเส้นใยประสาท ทำให้เพิ่มความเร็วในการขนส่งกระแสประสาทในสมอง และช่วยเพิ่มความจำด้วย กรดไขมันโอเมก้า- 3 ที่ประกอบด้วย EPA (eicosapentaenoic acid) และ DHA (docosahexaenoic acid) มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง โดยพบว่าผู้ที่ได้รับกรดไขมันโอเมก้า- 3 ไม่เพียงพอจะทำให้มีอาการซึมเศร้า ความจำและความสามารถในการเรียนรู้ลดลง IQ ต่ำ และอาจมีอาการทางจิตอื่นๆ ในทารกและเด็กที่กำลังเจริญเติบโตจะทำให้สมองมีพัฒนาการที่ไม่สมบูรณ์ โดยมีขนาดเล็ก และมีผลต่อการมองเห็น กรดไขมันโอเมก้า- 3 มีมากในปลาทะเลทุกชนิด เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน และปลาแมคเคอเรล เป็นต้น 

การดูแลสุขภาพผิวในฤดูหนาว





            
              สำหรับผิวกาย การพบเจอปัญหาผิวแตกแห้งในช่วงนี้ดูเหมือนจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับสาวๆ หลายคนได้เช่นกัน วิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้ผิวสวยสดใส คือต้องดื่มน้ำให้พอเพียงในแต่ละวัน ถ้าใครไม่ชอบดื่มน้ำก็ควรรับประทานผลไม้ที่มีน้ำมากๆ อย่าง แตงโม หรือส้มเข้าไปเพื่อทดแทน และไม่ควรอาบน้ำที่เย็นจัดหรือร้อนจัดจนเกินไป หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำที่มีฟองมากๆ เพราะจะดึงความชุ่มชื้นไปจากผิว

การดูแลสุขภาพในฤดูหนาว



          
      
          การดูแลผิวหน้าก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะเป็นส่วนที่เห็นชัดที่สุด ในขณะที่ล้างหน้า ควรใช้น้ำเย็นแทนน้ำร้อนเพราะน้ำร้อนจะทำให้ความชุ่มชื้นของผิวหายไป และไม่ควรเช็ดหน้าแรงๆ แค่ซับเบาๆ ก็พอ เพราะยิ่งถูยิ่งขัดแรงหน้าจะยิ่งลอกมากขึ้น ก่อนจะปิดท้ายด้วยการทาโลชั่นบำรุงผิวตาม ส่วนใครที่มีใบหน้ามันอยู่แล้ว ไม่ควรใช้โลชั่นที่มีส่วนผสมของน้ำมันเพราะจะยิ่งเป็นการกระตุ้นให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้น สุดท้ายถ้าผิวยังดูซีดเซียว เหมือนคนป่วยอีก ก็ต้องพึ่งเมคอัพกันหน่อยแล้วค่ะ ปัดแก้มโทนชมพูให้ดูมีเลือดฝาดนิดๆ แล้วเติมลิปกลอสหน่อยก็ดูสวยใสรับหน้าหนาวได้

ประโยชน์ของการออกกำลังกาย ( BENEFITS )

                                                     


                               เราออกกำ ลังกายเพื่ออะไร ?
    
      คำตอบง่ายๆ ก็คือ การออกกำลังกายทำให้สุขภาพและสมรรถภาพทางกายสมบูรณ์และแข็งแรง การออกกำลังกายโดยการเล่นกีฬาที่ชอบ เช่น ว่ายน้ำ การเต้นแอโรบิค หรือวิ่ง เหล่านี้ ล้วนทำให้มีสุขภาพดียิ่ง


  • ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง
  • เลือดไปเลี้ยงสมองได้มากขึ้น
  • หัวใจและปอดแข็งแรง
  • ลดคอเลสเตอรอล
  • โอกาสเส้นเลือดอุดตันลดลง
  • ทำให้หลับสนิทและหลับนาน
  • สมรรถภาพทางเพศดีขึ้น
  • ระบบการย่อยและระบบขับถ่ายดีขึ้น
  • รูปร่างสมส่วนสวยงาม
  • ชลอความแก่